
ผมว่าทุกปัญหาในการเข้าสังคมของคนก็คือการที่เราไม่เข้าใจกันนั่นแหละครับซึ่งการไม่เข้าใจกันก็เกิดมาจากการที่คนคิดไม่
เหมือนกัน หรือการที่คนคิดต่างนั่นเองแต่ทำไมคนเราถึงคิดไม่เหมือนกันนะ ? และอะไรที่ทำให้คนคิดต่างจากคนอื่น?ในวันนี้
เรามาดูกันว่าทำไมคนเราคิดไม่เหมือนกัน และข้อดีของการคิดต่างคืออะไร มันต่างอะไรกับการคิดขวางโลกหรือเปล่าและเรา
จะอยู่ร่วมกับคนอื่นที่คิดต่างได้ยังไง
ทำไมคนเราถึงคิดไม่เหมือนกัน
การคิดไม่เหมือนกัน หรือการคิดต่างเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เ พ ร า ะตามหลักจิตวิทย าแล้วความแตกต่างมาจากทั้งการฟูกฟัก
จากสิ่งรอบข้าง และนิสัยที่ติดมาตั้งแต่เกิด ซึ่งความคิดที่แตกต่างคือปัจจัยที่ทำให้สังคมมีสีสันและก้าวหน้าไปได้ สิ่งที่สำคัญก็
คือเราจะสามารถอยู่กับคนที่คิดต่างและเคารพความคิดที่ไม่เหมือนกับเราได้อย่ างไรผมคิดว่าการคิดไม่เหมือนกันเป็นเรื่องปกติ
นักจิตวิทย าวิจัยว่าสิ่งที่มีผลกระทบต่อความคิดและการกระทำของมนุษย์มีอยู่ 2 อย่ าง นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และ
สิ่งที่เกิดขึ้นตามการเลี้ยงดู (nature และ nuture) สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถ้าพูดตามภาษาคนทั่วไปก็คือการที่เราเกิดมาก็เป็น
อย่ างนี้แล้ว (born this way) หรือถ้าจะพูดตามหลักวิทย าศาสตร์ก็อาจจะอธิบายได้ว่าสมองคนเราสร้างฮอร์โมนแห่งความสุข
(endorphins, dopamine and serotonin) ได้จากเหตุการณ์แต่ละอย่ างไม่เท่ากัน ยกตัวอย่ างเช่นขนาดคนในครอบครัวเดียว
กันหือแม้แต่ฝาแฝดบางคู่ยังคิดไม่เหมือนกันเลย
นักจิตวิทย ายังค้นพบได้อีกว่า ‘ความคิด’ บางอย่ างเช่นอาการซึมเศร้า (depression) หรือหวาดระแวง (anxiety) เป็นสิ่งที่สืบ
ทอดกันได้ผ่านยีนด้วยส่วนความแตกต่างที่เกิดขึ้นตามการเลี้ยงดู ก็คือสิ่งที่เราถูกปลูกฝังมาอาจจะจากพ่อแม่ จากเพื่อน จาก
สังคม หรือจากสื่อต่างๆที่เราติดตั้งแต่เด็กจนโต บางทีคุณกับเพื่อนสนิทในกลุ่มของคุณก็คิดอะไรเหมือนๆกัน หรือสามารถคิด
แทนกันได้ด้วยซ้ำใช่ไหมครับ นั่นก็คือการที่คุณถูกฟูมฟักมาในสังคมหรือกลุ่มเพื่อนที่เหมือนกันความคิดที่ถูกปลูกฝังมาจากรุ่น
สู่รุ่น และทุกคนในสังคมคิดว่าเป็นเรื่องปกติก็ถูกเรียกว่าวัฒนธรรมนั่นเองแน่นอนว่า มนุษย์ทั่วโลกมี 7000 ล้านคน เอาแค่ใน
ประเทศไทยก็มี 70 ล้านคนแล้ว จะให้ทุกคนเกิดมาเหมือนกันก็ย าก และถ้าจะให้ทุกคนถูกปลูกฝังมาด้วยความคิดหรือความ
คาดหวังเดียวกันก็ยิ่งย ากเข้าไปใหญ่เ พ ร า ะฉะนั้นความแตกต่างพวกนี้ถึงทำให้คน คิดไม่เหมือนกัน
ข้อดีของการคิดต่าง
โดยรวมแล้วการคิดต่างเป็นเรื่องที่ดีนะครับเ พ ร า ะความคิดและความชอบที่ไม่เหมือนกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มลองทำอะไร
ใหม่ๆ ผมขอยกตัวอย่ างสังคมเป็นสนามฟุตบอลละกัน สังคมที่ทุกคนคิดเหมือนกันหมดก็จะมีแต่คนอย ากเล่นเป็นกองหน้าทำให้
ไม่มีใครอย ากเล่นเป็นกองหลัง กองกลาง หรือตำแหน่งผู้รักษาประตู สังคมอย่ างนี้คงไม่สามารถเล่นฟุตบอลกันได้ในเชิงเศรษฐ
กิจก็คงเช่นกัน ถ้าไม่มีใครอย ากเป็นชาวนา อย า กเป็นหมอ หรืออย ากเป็นตำรวจ เราก็คงไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นสังคมที่มี
ประสิทธิภาพ เ พ ร า ะเราจะไม่มีตำแหน่งสำคัญไปหรือถ้าจะมองให้เล็กหน่อยเป็นการคิดต่างในครอบครัวหรือระหว่างคนสองคน
ในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีการไม่เข้าใจกันอยู่บ้าง แต่เราสามารถนำความต่างนี้มาช่วยในการดูแลกันและกันในส่วนที่อีกฝ่าย
ไม่ถนัดซึ่งจุดสำคัญของการอยู่กับคนคิดต่าง ก็คือเราต้องเคารพความคิดของอีกฝ่ายนึหนึ่งด้วย
คิดต่างกับขวางโลก
การคิดต่างกับการคิดขวางโลกต่างกันยังไง? การคิดต่าง เป็นความคิดที่ไม่ได้ทำให้คนรอบข้างรู้สึกแย่ นี่รู้สึกไม่ดีในทางตรงข้าม
การคิดขวางโลก ก็คือการคิด(และการกระทำ)ที่นอกจากจะต่างจากคนอื่นคิดแล้วยังทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ หรือบางที
ก็จะทำให้ระบบสังคมที่มีอยู่ถูกกระทบในแง่ไม่ดีหลายๆครั้งการคิดต่างกับการคิดขวางโลก ไม่ได้เป็นปัญหาที่ตรงส่วนความคิด
ครับ แต่ปัญหาจะอยู่ที่วิธีการพูดกับการกระทำมากกว่าเราอาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่นเขา อาจจะมองเห็นวิธีการแก้ปัญหาที่น่าจะดี
กว่าก็ได้ แต่คนคิดต่างที่ดีคือคนที่เข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น และเรียนรู้ที่จะก้าวผ่านจุดที่
ไม่เหมือนกันได้โดยที่ยังรักษาน้ำใจของคนอื่นไว้อยู่จะพูดว่าคิดต่างหรือคิดขวางโลก มันก็เป็นมุมมองของคนหนึ่งคนหรือคนหนึ่ง
กลุ่มกับสังคมอีกกลุ่มหนึ่ง หรือจะว่าไปแล้วมันคือการที่การแปลความหมายของคนหนึ่งกลุ่ม ไม่ตรงกับความหมายของคนกลุ่มอื่น
เราต้องมีผู้ที่ต่างและผู้ที่ถูกเปรียบเทียบว่าต่างแต่คนทั้งสองกลุ่มนี้จะอยู่ด้วยกันได้ยังไง มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้อยู่กับคนที่คิดต่าง
ได้ โดยเฉพาะอย่ างยิ่งถ้าคนที่คิดต่างเป็นคนที่สำคัญของเราและเป็นคนที่เราอย ากจะอยู่ด้วยทั้งๆที่ความคิดไม่ตรงกัน เรามา
ลองดูวิธีแก้ปัญหาเวลาความคิดไม่ตรงกันกันครับ
วิธีแก้ปัญหาความคิดเห็นไม่ตรงกัน
ขั้นตอนในการแก้ปัญหาเวลาความคิดเห็นไม่ตรงกันก็คือ
1 : หาขอบเขตก่อน – เราควรเคารพทุกคน ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงที่โมโหหรือความคิดไม่ตรงกันก็ตาม ถ้าเกิดมีการต่อว่า ตระโกน
หรือการด่ากัน เราควรบอกให้อีกฝ่ายหยุดโดยด่วน และถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด เราก็ควรเดินออกมาก่อนและบอกอีกฝ่ายว่า
ตอนนี้ไม่อย ากทะเลาะด้วย
2 : หาปัญหาที่แท้จริง – เวลาที่เกิดการทะเลาะเ พ ร า ะความคิดเห็นไม่ตรงกัน ส่วนมากจะเป็นเ พ ร า ะว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่สามารถทำตามหรือให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายอย ากได้ บางครั้งคนที่โมโหก็เป็นเ พ ร า ะว่าเค้าอย ากได้รับการสนใจ รู้สึกอึดอัดไม่
ปลอดภัย หรืออย ากได้กำลังใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราช่วยทำความสะอาดหรือเปล่า เ พ ร า ะปัญหาที่แท้จริงคืออีกฝ่ายรู้สึก
ว่าตัวเองทำงานเยอะอยู่คนเดียวเป็นต้น
3 : เข้าใจว่าด้องมีการทะเลาะกันบ้าง – บางครั้งวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการไม่พูดถึงมัน เ พ ร า ะเราก็ไม่สามารถเปลี่ยน
ความคิดคนได้ทุกอย่ าง เราควรโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญแทนที่จะยึดติดกับสิ่งที่เราอาจจะลืมในอีกหนึ่งถึงสองปีก็ได้ ถ้าทั้งสองฝ่าย
ไม่สามารถรับความคิดหรือการทะเลาะกันได้ บางทีทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่เข้ากันตั้งแต่แรกแล้ว
4 : ประนีประนอม – ประนีประนอมเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำย ากมาก แน่นอนว่าถ้าทำได้มันก็จะดีมากเช่นกัน หากอีกฝ่ายอย าก
กินอาหารจีนแต่เราอย ากกินอาหารไทย เราก็ควรคิดว่าอาหารที่เราอย ากกินมันสำคัญถึงขนาดต้องมาทะเลาะกันหรือเปล่าและ
มันจะมีจุดกลางอะไรที่ทั้่งสองฝ่ายจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ไหม
5 : มองให้กว้าง – ปัญหาหรือความแตกต่างนี้มันสำคัญมากแค่ไหน เราต้องเปลี่ยน ‘ความเชื่อ’ หรือ ‘มุมมองต่อคุณธรรม’ ของ
เราเลยหรือเปล่า ถ้ามันสำคัญต่อเราจริงๆเราก็ควรจะแสดงจุดยืนของเราออกมา แต่ถ้ามันไม่สำคัญผมว่าเราก็น่าจะคุยและปรบ
ตัวกันได้ หากเรามองให้กว้างเข้าไว้ ปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่องความคิดเห็นเล็กๆ แต่อาจจะมาจากอย่ างอื่นที่ทำให้อีกฝ่ายไม่
พอใจแทน
เรื่อง ‘การคิดต่าง’ เป็นปัญหาระหว่างคนสองคนหรือคนสองกลุ่ม และไม่ใช่ปัญหาที่เราจะแก้ได้ด้วยคนเดียว การที่บอกให้ฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่ง ยอมรับ อยู่เพียงข้างเดียว ไม่ใช่คำตอบที่ดี ใน ระ ยะ ย าวเลยผมมองว่ามันง่ายที่จะบอกว่าความคิดไม่ตรงกัน ก็เลยไม่
อย ากคุยต่อ แต่สิ่งที่สำคัญคือความกล้าจะยอมรับความคิดอีกฝ่าย ทั้งๆที่ความคิดนั้นอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่เราเชื่อแน่นอนว่าคง
ไม่มีอะไรสบายไปกว่าการอยู่กับคนที่ความคิดตรงกับเราทุกอย่ าง แต่ในโลกนี้จะมีซักกี่คนกัน ขนาดพ่อแม่หรือฝาแฝดของเรายัง
อาจจะคิดไม่เหมือนเราเลย