ถ้าบอกลอย ๆ ขึ้นมาว่า “เราควรขอบคุณให้น้อย..” คงอาจสงสัยว่า ที่จริง ต้องควรขอบคุณ ให้มาก ๆ ไม่ใช่เหรอ?
และกับประโยคที่ว่า “อภัยมากกว่า” หมายถึงอะไรอภัยเรื่องเดียวยังย ากเลยมันก็ชวนให้อ่านแล้วสงสัยเ พ ร า ะ
ส่วนหนึ่งมันเป็นเรื่องของภาษา ที่เจตนาเขียนให้คิดไปต่าง ๆ กัน
บทความนี้เกิดจากแง่คิดหนึ่ง ที่คิดได้ในการเตรียมเนื้อหาเพื่อใช้บรรย าย (อีกแล้ว) หลักสูตรอบรมหัวหน้างาน
ที่ในหลาย ๆ หลักสูตรของผม หมายถึงทักษะที่ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันด้วย ทีนี้ยิ่งเป็น
เรื่องใกล้ตัวเท่าไหร่ เหมือนจะพูดง่าย แต่มันไม่ง่ายเลยที่คนเราจะตระหนักรู้ และเอาไปปฏิบัติ
จงขอบคุณให้น้อย
การขอบคุณไม่ว่าจะรู้สึกขอบคุณ หรือเพียงกล่าวคำขอบคุณเป็นสิ่งที่ดี ทีนี้ใน “ภาวะที่เราต้องขอบคุณ” ย่อม
เกิดจากเราได้รับบางสิ่งบางอย่ างจากใครคนหนึ่ง หรือสิ่งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าเราเป็น “ผู้รับ” นั่นเอง..
ในทุก ๆ วัน หากเราอยู่กับใครมาก ๆ จะเป็นคนในครอบครัว หรือทำงานร่วมกับใครบ่อย ๆ แล้วต้อง “เป็นฝ่าย
ขอบคุณเสมอ” นั่นหมายความว่าเราเป็นผู้รับจากเขามากกว่า เขาต้องช่วยเหลือเรามากกว่าเลยเถิดไป
ถึงว่าเราอาจทำอะไรได้ไม่ค่อยดีประจำเขาต้องช่วยประจำ มีศักยภาพน้อยเกินไป ใช่ว่าจะเป็นความผิดเสีย
ทีเดียว แต่จะดีกว่าถ้า…
หากเราเป็นฝ่ายขอบคุณให้น้อย และให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายขอบคุณเรามากกว่า นั่นย่อมหมายถึงเราทำในสิ่งที่มีค่า
มีประโยชน์ต่อเขาได้มากกว่า หรืออย่ างน้อยการที่ต่างฝ่ายต่างขอบคุณพอ ๆ กันก็เป็นเรื่องดี เ พ ร า ะอยู่ใน
สถานะที่ต่างฝ่ายต่างได้ช่วยเหลือกัน
ทั้งนี้ คำว่าน้อยกว่า มากกว่า อาจไม่ใช่ปริมาณที่ชัดเจน หรือมากแบบต้องขอบคุณกันทุกวัน วันละหลายรอบ
เ พ ร า ะการที่ขอบคุณใครน้อยในที่นี้ยังหมายถึงการที่เรา “ไม่ต้องคอยรอให้ใครมาช่วยเหลือ” ยืนด้วย
ตัวเองได้ พึงพาตัวเองได้ดีนั่นเอง
อ่อ! แต่ไม่ได้หมายความว่า เวลามีใครช่วยเหลืออะไร แล้วเราไม่รู้สึกขอบคุณ ก็คิดว่าตัวเองต้องขอบคุณ
น้อยแล้ว อันนี้ก็ไม่ใช่นะครับ…
อภัยมากกว่า
จากเรื่องแรกถ้าพอเข้าใจก็คงคิดได้ว่า “อภัยมากกว่า” นี้หมายถึงอะไร ก็ในทำนองเดียวกัน หากเราต้องทำตัว
ให้ใครคอยให้อภัยเรามาก ๆ ย่อมต้องหมายถึง “เราทำผิดต่อเขาบ่อย ๆ” อันที่จริงก็ดีมากแล้วที่รู้สึกผิดเป็น
แต่จะดีกว่าหากไม่ต้องเกิดบ่อย ๆ เท่านั้นเอง
และในแต่ละวันที่ผ่านไป เราก็ควรเป็นฝ่ายอภัยมากกว่า คือ ปกติเราย่อมไม่พอใจหากใครทำผิดต่อเรา แต่มันก็ดี
กว่าการใช้ชีวิตแบบ เราเป็นฝ่ายทำผิดต่อใคร ต่อคนอื่นมากกว่า หรืออยู่เรื่อย ๆ มิใช่หรือ?
หากเทียบกันแล้วในคนที่มีจิตสำนึกโดยส่วนใหญ่ ความรู้สึกผิดนั้นเราอาจลบเองได้ย าก เ พ ร า ะไม่รู้ว่าอีกฝ่าย
จะให้อภัยไหม แต่สำหรับการให้อภัยหากเราทำได้ เราจะไม่คาใจ และสิ่งเหล่านั้นไม่อาจเป็นตะกอนภายใต้
จิตใจเรา ชีวิตที่อภัยได้กับชีวิตที่ต้องรู้สึกผิด โลกสดใสต่างกันโดยสิ้นเชิง
เป็นเพียงอีกหนึ่งบทความดี ๆ สั้น ๆ ที่ให้ทบทวนว่า “จงขอบคุณให้น้อยกว่า ใครเขาต้องขอบคุณเรา จงอภัยให้
มากกว่า.. ใครเขาต้องให้อภัยเรา”… ขอบคุณที่อ่านเว็บนี้นะครับ