
ชีวิตของคนเราปะปนด้วยโชคกับเคราะห์ ตรงกับหลักธรรม โลกธรรม 8บางวันดี บางวันแย่สลับไปมา ในย ามที่เคราะห์มาเยือน
ก็ทุกข์เหลือทนเวลาโชคมาก็มีความสุขล้นเปี่ยม ทำอย่ างไรให้เราอยู่บนความพอดี ในเวลาที่ทุกข์และสุขคนเราอยู่ในโลก แต่
มักปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต่อสิ่งทั้งหลายในโลก จึงดำเนินชีวิตไม่ถูกต้องสิ่งที่เราเกี่ยวข้องต่าง ๆ นี่ มันก็อยู่ของมันไปตามปกติ ตาม
ธรรมชาติแต่เราปฏิบัติต่อมันไม่ถูก วางใจไม่ถูก แม้แต่มองก็ไม่ถูก เราจึงเกิดทุกข์สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมดามันก็เป็นไปถ้า
เรารู้ทัน ก็เห็นมันเป็นไปตามกฎธรรมชาติแต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันเรามองไม่เป็นก็เกิดทุกข์ทันทีแม้แต่เหตุการณ์ความผันผวนปรวน
แปรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราที่เรียกกันว่า โชคบ้าง เคราะห์บ้าง ศัพท์พระเรียกว่าโลกธรรมซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้
คนดีใจเสียใจ เป็นสุข และเป็นทุกข์เวลามันเกิดขึ้น ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง ที่สุขเราก็แปลงให้เป็นทุกข์ ที่มันเป็นทุกข์อยู่แล้วเรา
ก็เพิ่มทุกข์แก่ตัวเราให้มากขึ้น แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องที่ทุกข์เราก็ผันแปลงให้เป็นสุขที่มันเป็นสุขอยู่แล้ว เราก็เพิ่มให้เป็นสุขมาก
ยิ่งขึ้นโลกธรรม คืออะไร โลกธรรมแปลว่า ธรรมประจำโลกได้แก่สิ่งที่เกิดแก่มนุษย์ทั้งหลาย ตามธรรมดาของความเป็นอนิจจัง
ก็คือเรื่อง ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มันมีอยู่เป็นธรรมดาเมื่อเราอยู่
ในโลก เราไม่พ้นมันหรอก เราต้องเจอมันทีนี้ถ้าเราเจอมันแล้ว เราวางใจไม่ถูก และปฏิบัติไม่ถูก เราจะเอาทุกข์มาใส่ตัวทันทีพอ
เรามีลาภ เราก็ดีใจ อันนี้เป็นธรรมดา เ พ ร า ะเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาแต่พอเสื่อมลาภเราก็เศร้าโศก เ พ ร า ะเราสูญเสียทีนี้ ถ้าเรา
วางใจไม่ถูก ไประทมตรมใจ แล้วไปทำอะไรประชดประชันตัวเองหรือประท้วงชีวิต เป็นต้น เราก็ซ้ำเติมตัวเอง ทำให้เกิดทุกข์มาก
ขึ้นอย่ างง่าย ๆ กว่านั้น เช่น เสียงนินทา และสรรเสริญ คำสรรเสริญนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบใจพอได้ยินเราก็มีความสุข ใจก็ฟูขึ้นมา
แต่พอได้ยินคำนินทาเราก็เกิดความทุกข์ทุกข์นี้เกิด เ พ ร า ะอะไร เ พ ร า ะเรารับเอาเข้ามาคือรับกระทบมันนั่นเอง คือเอาเข้ามา
บีบใจของเราทีนี้ ถ้าเราวางใจถูกต้อง อย่ างน้อยเราก็รู้ว่า อ้อ นี่คือธรรมดาของโลก เราได้เห็นแล้วไงพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า
เราอยู่ในโลก เราต้องเจอโลกธรรมนะ เราก็เจอจริง ๆ แล้วเราก็รู้ว่า อ้อ นี่ความจริงมันเป็นอย่ างนี้เอง เราได้เห็นได้รู้แล้ว เราจะได้
เรียนรู้ไว้พอบอกว่าเรียนรู้เท่านั้นแหละ มันก็กลายเป็นประสบการณ์สำหรับศึกษา เราก็เริ่มวางใจต่อมันได้ถูกต้องต่อจากนั้น ก็นึก
สนุกกับมันว่าอ้อก็อย่ างนี้แหละอยู่ในโลกก็ได้เห็นความจริงแล้วว่า มันเป็นอย่ างไรทีนี้ก็ลองกับมันดูแล้วเราก็ตั้งหลักได้สบายใจ
อย่ างนี้ก็เรียกว่า ไม่เอาทุกข์มาทับถมใจตัวเองอะไรต่าง ๆ นี่ โดยมากมันจะเกิดเป็นปัญหา เ พ ร า ะเราไปรับกระทบถ้าเราไม่รับ
กระทบ มันก็เป็นเพียงการเรียนรู้บางทีเราทำใจให้ถูกต้องกว่านั้น ก็คือ คิดจะฝึกตนเองพอเราทำใจว่าจะฝึกตนเอง เราจะมองทุก
อย่ างในแง่มุมใหม่แม้แต่สิ่งที่ไม่ดีไม่น่าชอบใจ เราก็จะมองเป็นบททดสอบพอมองเป็นบททดสอบทีไร เราก็ได้ทุกที ไม่ว่าดีหรือ
ไม่ดีเข้ามาก็เป็นบททดสอบใจ และทดสอบสติปัญญาความสามารถทั้งนั้นก็ทำให้เราเข้มแข็งยิ่งขึ้น เ พ ร า ะเราได้ฝึกฝน เราได้
พัฒนาตัวเราเลยกลายเป็นดีไปหมดถ้าโชคหรือโลกธรรมที่ดีมีมาเราก็สบายเป็นสุขแล้วเราก็ใช้โชคนั้น เช่น ลาภ ยศ เป็นเครื่อง
มือเพิ่มความสุข ให้แผ่ขย ายออกไปคือใช้มันทำความดี ช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ทำให้ความสุขขย ายจากตัวเรา แผ่กว้าง
ออกไป สู่ผู้คนมากมายในโลกถ้าเคราะห์หรือโลกธรรมที่ไม่ดีผ่านเข้ามา ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ตัวเราจะได้ฝึกฝนพัฒนามันก็กลาย
เป็นบททดสอบ เป็นบทเรียน และเป็นเครื่องมือฝึกสติฝึกปัญญา ฝึกการแก้ปัญหา เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้นไปเ พ ร า ะ
ฉะนั้น ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าจึงถือคติว่า ให้มนสิการให้ถูกต้องถ้ามองสิ่งทั้งหลายให้เป็นแล้ว ก็จะเกิดเป็นประโยชน์แก่เราหมด
ไม่ว่าดีหรือไม่ดีนี้เป็นตัวอย่ างวิธีการเบื้องต้น แต่รวมความง่าย ๆ ก็คือ เราไม่เอาทุกข์มาทับถมตนเอง เป็นหลักข้อที่ 1