1 : รักผู้อื่นให้มากขึ้น
ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่อาจรักตนเองอย่ างถูกต้องได้ ความรักนั้นจำเป็นต้องเรียนรู้ผ่านการรักผู้อื่นจงรักผู้อื่นอย่ างไม่เห็นแก่ตัว
จงให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ฝึกตนเองให้เป็นผู้ให้ที่ให้เป็นแล้วความรักที่เรางง ๆ อยู่ ก็จะเดินไปสู่ความเป็นรักที่แท้จริงได้
2 : เมื่อมีสุข ขอให้มองความสุข
รู้สึกกับความสุข แต่ให้เว้นที่ว่างเอาไว้บ้างว่า ความสุขนั้นย่อมมีวันจากเราไป ไม่ช้า ก็เร็ว
3 : เมื่อมีทุกข์ ขอให้มองความทุกข์
แล้ววางจิตใจไว้เหนือทุกข์ ทุกข์ส่วนทุกข์ เราส่วนเรายกจิตยกใจของเราขึ้นจากความทุกข์ให้ได้ด้วยการกำหนดคความ
เป็นกลาง มองความทุกข์ เหมือนเราไม่ได้เป็นผู้ทุกข์
4 : ทำปัจจุบันตรงหน้า ระหว่างการใช้ชีวิต
ควรมีสติระลึกรู้ว่า ขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่กำลังทำงานก็อยู่กับงาน กำลังเดินก็อยู่กับการเดิน มองต้นไม้ให้เห็นต้นไม้
มองฟ้าให้เห็นฟ้าฟังเสียงนกร้องก็ขอให้ได้ยินเสียงนั้น เหล่านี้คือการกำหนดใจลงสู่ปัจจุบันทั้งสิ้น
5 : ความเ ล วที่ทำอยู่ควรละ ลด และเลิก
แต่ไม่ต้องโทษโกรธเคืองตนเอง พย าย ามควบคุมคำพูดการกระทำของเราให้อยู่ในคุณงามความดี เพื่อไม่ให้สร้างความ
เดือดร้อนให้ตนเองและผู้อื่น
6 : ความดีที่มีอยู่ ควรเพิ่มพูน
ส่งเสริมให้งอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป ภูมิใจในความเป็นคนดีของตน แม้มันจะเป็นเพียงความดีเล็ก ๆแต่ต้นไม้ใหญ่ ก็เคยเป็นต้นกล้า
มาก่อนเช่นกัน ควรสร้างเหตุปัจจัยให้ความดีของตนได้เติบโตต่อไป
7 : ความคิดโหยหาอดีต
และความกังวลในอนาคตนั้น เป็นความคิดที่สูญเปล่า และเป็นโทษเสียเป็นส่วนใหญ่ถ้าเป็นไปได้ ควรคิดให้น้อย แทนที่
ความคิดไร้ประโยชน์เหล่านั้นด้วยการทำสมาธิ กำหนดลมหายใจหรือการพิจารณาชีวิตในมุมที่สร้างสรรค์ เราต้องตระหนัก
ว่า ความทุกข์คือก้อนความคิดที่สร้างมาจากเวลาที่นอกเหนือจากปัจจุบันเมื่อเรารวมใจของเราลงสู่ปัจจุบันได้เมื่อไหร่
ทั้งอดีต และอนาคต ก็จะไม่สามารถทำไม่ดีเราได้
8 : ทำลายวงจร อุ บ า ท ของชีวิต
ด้วยการใส่กิจก ร ร มดีๆ เข้าไป เช่นการตื่นให้เช้าขึ้น กำหนดเวลากิน อยู่ หลับ นอนขับถ่ายให้เป็นเวลา ใส่ตารางการออก
กำลังกายลงไปบ้าง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้จิตวิญญาณของตนตระหนักถึงความเป็นระบบระเบียบของชีวิต อย่ าใช้ชีวิตแบบเดิมๆ
เ พ ร า ะนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโ ร คซึมเศร้า และปัญหาทางใจอื่น ๆ ที่จะตามมา
9 : จงรักในหน้าที่ของตน
และพย าย ามเชื่อโยงหน้าที่ของตนไว้กับประโยชน์ของผู้อื่น หรือประโยชน์ของสังคมคิดให้ออกว่าหน้าที่ของเรา สามารถ
ช่วยอะไรสังคม หรือผู้อื่นได้บ้าง และขย ายความรู้สึกนึกคิดตรงนั้นให้งอกงามในใจการงานของเราก็จะเปลี่ยนจากการทำงาน
เป็นการทำบุญ กลายเป็นคนที่มีใจและหน้าที่อันเป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา
10 ย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอ
ว่า สิ่งต่างๆ นั้นอยู่ด้วยเหตุปัจจัย อย่ าคาดหวังในผล แต่จงสร้างเหตุ อย่ าคาดหวังในรักที่ดีแต่จงสร้างเหตุแห่งรักที่ดี อย่ า
คาดหวังในความร่ำรวยให้มากเกินไป แต่จงสร้างเหตุแห่งความร่ำรวยให้เกิดขึ้นสิ่งนี้เองคือการทำทุกอย่ างด้วยจิตว่าง
เมื่อทำทุกอย่ างด้วยจิตว่างได้แล้วชีวิตก็จะพบกับหนทางแห่งความดีงามและความสุขได้ง่ายขึ้น
11 : มองไปรอบข้าง
ถามตนเองว่า มีใครบ้างที่มีความหมายกับชีวิตของเรา มีใครบ้างที่มีบุญคุณกับชีวิตของเราบุคคลเหล่านี้คือบุคคลที่เราต้อง
ดูแล ไม่อาจละเลย ขอให้มองไปยังเขาเหล่านั้นแล้วถามตนเองว่า เราจะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง และลงมือทำทันที อย่ าได้
รีรอ เ พ ร า ะเวลาไม่อาจย้อนคืนได้ใหม่
12 : อย่ าพูดในสิ่งไม่ดี
อย่ าพูดโกหก อย่ าพูดความจริงที่ไร้ประโยชน์ อย่ าพูดจาทำลายน้ำใจบุคคลอื่นอย่ าพูดจาดูถูกตนเอง และอย่ าพูดอะไร
ที่ทำลายสังคม บุคคล และศาสนาที่ตนนับถือ
13 : จงฝึกจิตใจของตน
ขัดเกลาจิตใจของตนด้วยการกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ ฝึกคิดอย่ างเท่าทันฝึกสมาธิ ฝึกกำหนดรู้ตามจริง เ พ ร า ะชีวิต
คือสิ่งไม่แน่นอน และไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมในทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เราต้องเตรียมความ
แข็งแรงของจิตใจไว้เ พ ร า ะการทำใจไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้ไม่เคยฝึกฝน
14 : ขอขวัญที่ดีที่สุดคือ รอยยิ้ม กำลังใจ
และความจริงใจ จงแจกจ่ายของขวัญเหล่านี้ไปยังผู้คนที่พบเห็นทำให้เป็นนิสัย แล้วมิตรภาพดีๆ จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกวัน
15 : ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงบอกตัวเองว่า สิ่งนั้นจะผ่านเราไปเสมอ
ไม่ว่าสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ จงมองดูเวลาให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมัน จงอดทน เข้มแข็ง อย่ ายอมแพ้ในสิ่งใดก็ตาม จงขอบคุณ
ตัวเองที่พาชีวิตมาจนถึงวันนี้ ขอบคุณลมหายใจ และสรรพสิ่งทั้งหลายที่ให้โอกาสเราได้เรียนรู้ชีวิตและสร้างสติปัญญาให้เจริญ
งอกงามในจิตวิญญาณของเรา ขอให้บอกกับตนเองเสมอว่า เราคือบุคคลที่โชคดีที่สุดในโลกแล้วที่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของเรา
เอง จงใช้มันจงใช้ชีวิต ทำชีวิตของตนเองให้มีคุณค่าที่สุด สมดังที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐในชาตินี้ขอให้โชคดี
ได้พบเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ กันทุกคนครับ