คือเรื่องมันมีอยู่ว่า…
ในดินแดนอันไกลโพ้น…มีม้าหนุ่มตัวหนึ่งที่มีร่ างก ายกำยำ แข็งแรง
ดูสง่างาม ความสามารถของม้าตัวนี้ก็คือ สามารถวิ่งได้ระยะทางถึงพันลี้
โดยที่ไม่ต้องหยุดพักเลย และไม่มีเหนื่ อ ย เลย จึงทำให้เป็นที่หมายปอง
ของหลายๆคนที่อย ากจะเป็นเจ้าของมัน แต่ม้าตัวนี้ก็ไม่ยอมให้ใครขี่เลย
เพราะมันกำลังรอผู้ที่เพียบพร้อม เหมาะที่จะขี่มันอยู่
ในช่วงเวลาที่ม้ากำลังมองหาผู้ที่มันคิดว่าเหมาะสมจะขี่มันได้นั้น…
ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาหาม้าตัวนี้เพื่อจะขี่มัน
พ่อค้า… ได้เข้ามาหาม้า
และถามมันว่า “ เจ้าอย ากจะไปกับข้าหรือไม่ ? ข้ามีน้ำ มีอาหารให้กินไม่ขาดนะ !! ”
ม้าพันลี้ได้แต่ส่ายหัว และตอบกลับไปว่า..
“ ม้าดี ๆ แบบข้า ไม่ไปกับพ่อค้าที่ใช้ข้าไปส่งของเฉย ๆ หรอกนะ !! ”
ทหาร… ได้เข้ามาหาม้า
และถามมันว่า “ เจ้าอย ากจะไปกับข้าหรือไม่ ? เจ้าจะได้เป็นม้าคู่กายทหารเลยนะ !! ”
ม้าพันลี้ได้แต่ส่ายหัว และตอบกลับไปว่า…
“ ม้าดี ๆ แบบข้า ทำไมข้อต้องไปรับใช้ทหารธรรมดาแบบเจ้าด้วย !! ”
นายพราน… ได้เข้ามาหาม้า
และถามมันว่า “เจ้าอย ากจะไปกับข้าหรือไม่ ? ”
ม้าพันลี้ได้แต่ส่ายหัว และตอบกลับไปว่า..
“ ม้าดี ๆ แบบข้า ทำไมต้องไปรับใช้นายพรานแบบเจ้าด้วย !!”
และไม่ว่าใครจะเข้ามาหามัน ชักชวนมันไปด้วยยังไง ม้าพันลี้ก็ไม่ตอบตกลงไปกับใครเลย
เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปหลายปี… แต่ม้าพันลี้ก็ยังหาเจ้าของที่ถูกใจมันไม่ได้สักที
จนเมื่อข่าวความเก่ง และความสามารถของม้าพันลี้เข้าไปถึงในวัง…
และไปถึงหูของพระราชา พระราชาจึงได้ออกรับสั่งให้ขุนนางรีบไปตามหาม้าพันลี้ตัวนี้
เพื่อมาเป็นพาหนะคู่กายของพระราชา ขุนนางจึงออกเดินทาง และได้ตามหาม้าพันลี้ตัวนี้
จนพบและได้แนะนำตัวเองกับม้าพันลี้ เมื่อม้าพันลี้รู้ว่า คนที่มาหาตนเป็นถึงขุนนางชั้นสูง
และจะได้ไปเป็นพาหนะคู่กายของพระราชาก็ดีใจมากและตัดสินใจที่จะไปกับขุนนางในทันที
เพราะม้าพันลี้ได้เจอกับคนที่เหมาะสมจะขี่มันแล้ว แต่ก่อนที่จะได้กลับไปวัง
ขุนนางจึงได้ถามม้าพันลี้ว่า “ เจ้าเชี่ยวชาญเส้นทางแถบนี้มากแค่ไหน ??”
ม้าพันลี้ตอบว่า
“ ไม่คุ้นเลย !! เพราะข้าไม่เคยเดินทางไปไหนนานมากแล้ว ”
ขุนนางจึงถามต่อว่า …
“ เจ้าเคยมีประสบการณ์ในการสู้สมรภูมิรบบ้างไหม ?? ”
ม้าพันลี้ตอบว่า…
“ ไม่เลย..เพราะข้าไม่ยอมรับใช้ทหารธรรมดาๆหรอก ”
ขุนนางจึงถามต่อว่า …
“ งั้น…เจ้าเคยเข้าป่าไหม บางครั้งพระราชาก็ชอบไป ล่ า สั ต ว์ นะ !! ”
ม้าพันลี้ตอบว่า…
“ ไม่เลย..ข้าไม่ใช่ม้าธรรมดา ” ข้าไม่ยอมไปให้นายพรานใช้งานหรอก
ขุนนางมองม้าพันลี้ด้วยความสงสัย ว่าทำไมม้าตัวนี้ถึงมีชื่อเสียงไปไกลถึงในวัง
ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถอะไรเลย ขุนนางเลยพูดขึ้นว่า…
“ เจ้าไม่เคยทำอะไรมาเลย…แล้วข้าจะเอาเจ้าไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก !! ”
ม้าพันลี้บอกว่า …
“ ข้าวิ่งเวลากลางวันได้ วันละพันลี้ กลางคืน แปดร้อยลี้ ”
ขุนนางจึงเปรยไปว่า…
“ ถ้าอย่ างงั้น เจ้าก็ลองวิ่งให้ข้าดูหน่อย ถ้าเจ้าวิ่งได้เร็วสมคำล่ำลือ ข้าจะพาเจ้ากลับวัง ”
ม้าพันลี้จึงเริ่มออกวิ่งด้วยความมั่นใจ และดีใจที่จะได้โชว์ความสามารถของตัวเองให้คนอื่นได้ดูสักที
แต่เมื่อเริ่มออกวิ่งไปได้ไม่นาน ม้าพันลี้ก็เริ่มเหนื่ อย หมดแรงซะแล้ว
ขุนนางจึงพูดขึ้นว่า…
“ เมื่อก่อนตอนหนุ่ม..เจ้าคงจะเก่งมากจริงๆ ตามที่คนล่ำลือกันไว้
แต่ตอนนี้เจ้าแก่แล้ว ไม่ไหวแล้ว ถ้าข้าเอาเจ้าไป คงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว
ข้าว่าเจ้าคงไม่ใช่ม้าที่ข้าตามมาหาแล้วล่ะ ”
เมื่อพูดจบขุนนางก็ขึ้นควบม้าตัวเดิม แล้วจากไปทันที ทิ้งให้ม้าพันลี้ยืนหอบหายใจไม่ทันหาย
ข้อคิดของเรื่องนี้ สอนให้เรารู้ว่า….
อย่ าหลงทะนงตน อย่ าคิดว่าตนเก่งอยู่ค้ำฟ้าตลอด
คนเรามีนำหน้า ก็ต้องมีถอยหลัง หากเราคิดว่าตัวเองเก่ง
และหยุดที่จะพัฒนา หรือหาความรู้มาเพิ่มเราก็จะกลายเป็นคนที่ถอยหลัง
และคนอื่นจะแซงหน้าเราไปทีละก้าว มีความมั่นใจเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่ าถือทะนงตน
จนเกินไป เมื่อใดที่คิดว่าตนเองสุดยอด…จนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเมื่อนั้นความ ห า ย น ะ จะมาเยือน
เพราะเราจะหยุดพัฒนาตนเอง…จนมีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้นเอง
“ อย่ าประมาทในการดำเนินชีวิต การชิงช่วงและช่วงชิงมีอยู่ตลอดเวลา
ต้องรักษาใจให้ใสๆให้ได้ จะได้ไม่พลัดไปในอบาย ”…