ขั้นที่ 1 : สร้างรายได้เพิ่มและคุมกำเนิด
รายจ่ายลองคิดดูว่าหากคุณมีรายได้ปีละ 1 ล้านบาท คุณจะใช้ทำอะไรบ้าง ? ซื้อรถ ? ไปเที่ยว ?
คนรวยหลายคนไม่นิยมใช้เงินไป กับสิ่งของที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม พวกเขามักลงทุนใน ‘สินทรัพย์’ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ตนเอง
และคุมรายจ่ายให้ต่ำกว่ารายได้ หลายคนเลือกใช้รถเก่า ไม่ซื้อของใหม่ แม้พวกเขาจะมีกำลังเงินซื้อได้
ก็ตามจำไว้เลยว่าถ้ามีรายได้เพิ่ม แต่รายจ่ายเพิ่มตามนั่น คือคุณถังแตก
ขั้นที่ 2 : อารมณ์ศัตรูตัวฉกาจของการลงทุน
คนรวยและคนอยากรวยมีข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือคนอยากรวยใช้เงินเพราะอารมณ์แต่คนรวยนั้น
ใช้เงินเพราะเหตุผล การลงทุนนั้น คือการควบคุมอารมณ์ของตนเอง เพราะอารมณ์เป็นสาเหตุให้เราซื้อของแพง
และขายของถูกและอารมณ์ทำ ให้ธุรกิจล้มเหลว ดังนั้นทิ้งอารมณ์ไป ซะแล้วใช้เงิน ด้วยเหตุผลที่เหมาะสม จะดีกว่า
ขั้นที่ 3 : สะสมเงินทองดีกว่าสะสมสิ่งของ
คนอยากรวยหลายคนสะสม บ้านหรือรถแต่คนรวยนั้น ต่างออกไปพวกเขาเชื่อว่า ถ้าอยากร่ำรวย ให้มากขึ้น
สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่สิ่งของเหล่านี้ แต่เป็นเงินต่างหาก ยิ่งคุณซื้อของมากเท่าไหร่ เงินของคุณ
ก็จะหายไปกับสิ่งของมากเท่านั้น ลองหยุดซื้อของและให้ความสำคัญ กับการประหยัด , การเก็บออม
และการลงทุนในเงินที่เราหามาได้ จะดีกว่าแต่ถ้าคุณเป็นเจ้า แม่นักช็อปก็เริ่มต้นการช็อปในสินทรัพย์ต่างๆ
ให้ความสนใจในการลงทุน และเริ่มสะสมหุ้นในธุรกิจ แทนการช็อปรองเท้า หรือเสื้อผ้าแทน
ขั้นที่ 4 : อย่าไต่บันได แต่จงเป็นเจ้าของบันได
หลายคนทำงานเพื่อเลื่อนตำแหน่ง เพราะเชื่อว่าจะได้มีรายได้มากขึ้น แต่เหล่าคนรวย จะเป็นเจ้าของธุรกิจ
ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นเจ้า ของ ‘ตำแหน่งงาน’ พวกเขาเป็นเจ้าของบันได ที่เหล่าคนอยากรวย ทำงานจนหัวหมุน
เพื่อไต่เต้าอยู่คนรวยเข้าใจ ว่าพวกเขาต้องการคนมา ทำงานเพื่อช่วยเขาสร้างรายได้ ให้เพิ่มขึ้น
ขั้นที่ 5 : จงทำงานเพื่อสร้างทักษะ
อย่าทำงานไปวัน ๆ คนอยาก รวยหลายคนเปลี่ยนงาน เพราะต้องการได้เงินที่ดี กว่าแต่คนรวยรู้ว่าการทำงาน
ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น โดยเฉพาะในช่วงปีแรก ๆ ของการทำงานแต่เป็นการพัฒนาทักษะ ที่จะช่วยให้เรากลายเป็นคนรวย
เช่นการเป็นพนักงานขาย เพื่อให้เข้าใจโลกของการค้า หรือเป็นพนักงานธนาคาร เพื่อที่จะเข้าใจในงานบัญชี
ขั้นที่ 6 : เลิกอยู่อย่างสบายแล้วออกไปตามหาความลำบากซะบ้าง
แค่ขั้นแรกก็น่าจะยากซะแล้ว เพราะใครหลายคนต่างก็ชอบความสบายทั้งนั้น จะมีใครบ้างพอมีเงินแล้วไม่ใช้ ?
เรื่องง่าย ๆ ที่คนอยากรวยชอบทำงานสบาย ๆ นั่นก็เพราะ‘ปลอดภัย ’ หลายคนคิดว่าการทำงานสบาย เป็นเรื่องแสนสุข
แต่จริงๆแล้วคนรวย จะคิดว่าความท้าทายใ นการทำงานทั้งหลาย ต่างหากคือความสุข การทำสิ่งใหม่ ๆ
ในสิ่งที่เราไม่เคยทำมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงเล็กๆน้อย ๆ จะช่วยให้เราสร้างความร่ำรวย และได้รับผลตอบแทน
ที่มากกว่าเดิมลองก้าวออกจาก โซนปลอดภัยของคุณ
ขั้นที่ 7 : กระจายงานสร้างหนทางรวย
การทำงานหนักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ เราทุกคนและ ถ้าคุณอยากขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด (ไม่ว่านั่นคืออะไรก็ตาม)
คุณก็ต้องทำงานปัญหาก็ คือการทำงานหนักเพียงคนเดียวนั้น แทบจะไม่ทำให้คุณรวย คุณไม่สามารถรวยได้
เพียงลำพังคุณต้องอาศัย การกระจายงาน ตั้งแต่การจ้างคนภายนอก มาทำงานไปจน ถึงการลงทุนยิ่งคุณกระจายงานได้
มาก คุณก็ยิ่งมีเวลาที่จะโฟกัส ในสิ่งสำคัญทั้งในเรื่องธุรกิจ หรือเรื่องชีวิตของคุณเอง บันไดเหล่านี้ บางขั้นสูงมาก
แต่บางขั้นก็เหมือน แค่ทางต่างระดับเล็กๆ เท่านั้น
ขั้นที่ 8 : เน้นการหารายได้มากกว่า การเก็บออม
การเก็บออมเป็นเรื่องสำคัญ และการลงทุนนั้นสำคัญ กว่าแต่การหารายได้นั้น ทำให้เกิดทั้งคู่ หลายคนคิดว่า
แค่การเก็บออมกับการลงทุน ก็เพียงพอแต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด เราต้องหารายได้ ให้มากขึ้นคนรวยเข้าใจจุดนี้
และสร้างหนทางเพื่อหารายได้ เพิ่มถ้าอยากรวยจริง ๆ ให้โฟกัสไปที่การหารายได้ เพิ่มไม่ใช่แค่การเก็บออม หรือลงทุนเท่านั้น
ขั้นที่ 9 : เลือกเป็นมิตรให้ถูก
คนเรามักได้ยินว่าคนรวยมักคบกับคนรวยนั่น ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงพวกเขาเชื่อว่า เมื่ออยู่ในกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ
เขาสามารถเรียนรู้แลกเปลี่ยน เรื่องต่าง ๆ ได้และสักวันความสำเ ร็จ จะเป็นของเขา แต่…คนอยากรวยชอบอยู่ในกลุ่ม
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เหมือน ๆ กัน ถ้าคุณอยากหารายได้ เพิ่มลองไปเที่ยวกับคนที่มีรายได้มากกว่าตัวเอง
จะทำให้เราเปลี่ยนความคิด ให้เป็นแบบเดียวกับ คนที่ประสบความสำเร็จ จำไว้ว่า “ถ้าอยากเป็นคนรวย ก็ต้องคิดแบบคนรวย”
ขั้นที่ 10 : ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและลงมือทำบางครั้ง
คนอยากรวยเองก็มีเป้าหมาย แต่ขนาดของเป้าหมาย ทำให้คนรวย และคนอยากรวยแตกต่างกัน คนอยากรวยสร้างเป้าหมาย
ที่ปลอดภัยและทำได้ง่าย แต่คนรวยจะสร้างเป้าหมาย จากความตั้งใจ แม้เป็นไปไม่ได้หรือยากหลุดโลกไปเลย
แต่พวกเขาเรียนรู้ เพื่อหาวิธีและลงมือทำเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย ให้ได้เมื่อคุณตั้งเป้าหมาย ลองถามตัวเองว่าเป้าหมายยังใหญ่
กว่านี้ได้อีกรึเปล่า