เรื่องมีอยู่ว่าพ่อชวนลูกออกไปเดินเล่นยังชายป่า พอถึงทางโค้งพ่อหยุดเดินแล้วถามลูกว่านอกจากเสียงนกร้องแล้วลูก
ได้ยินเสียงอะไรอีกลูกหยุดเดินแล้วเงี่ยหูฟังก่อนจะตอบว่า นอกจากเสียงนกร้องแล้ว ยังมีเสียงรถม้าวิ่งอยู่พ่อบอกว่า
ถูกต้องแล้วและนั่นเป็นรถม้าที่ไม่ได้บรรทุกอะไรลูกแปลกใจจึงถามพ่อว่ารู้ได้ไงว่านั่นเป็นรถม้าเปล่าพ่อตอบว่าฟังจาก
เสียงก็จะรู้ว่าเป็นรถเปล่าเ พ ร า ะรถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดังพอเด็กน้อยโตขึ้น ทุกครั้งที่เจอคนที่ชอบคุยโม้โอ้อวด
พูดจาโอหังชอบตัดบทคนอื่นถือตนเป็นใหญ่ไม่มีใครอยู่ในสายตา ดูหมิ่นคนอื่น เขามักจะมีความรู้สึกเหมือนพ่อมายืน
กระซิบอยู่ข้างหูว่ารถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดังคนที่มีความเชี่ยวชาญในการเดินข้ามห้วยน้ำลำธารก่อนที่จะลุยลงน้ำ
เขามักหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วปาไปกลางน้ำเพื่อเป็นการคาดคะเนความลึกของน้ำละอองน้ำยิ่งกระจายสูงขึ้น
เท่าไหร่ น้ำในลำธารก็จะยิ่งตื้นเท่านั้นในทางตรงกันข้ามถ้าละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมายิ่งน้อยฉันใดแล้วยังบวกกับกระแสน้ำ
ที่ไหลเงียบสนิทพึงสังวรได้เลยว่าน้ำจะยิ่งลึกมากขึ้นฉันนั้น จำไว้ น้ำนิ่งไหลลึก น้ำลึกไร้เสียง..รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะ
ยิ่งดังคนมีดีแต่ไม่ทำตัวให้โด่ดเด่น ไม่โอ้อวดบารมี ไม่พูดจาข่มเขานั่นน่าจะเป็นวิถีของคนจริงหากนำเอาหลักการเหล่านี้
มาเปรียบเปรยกับบุคคลที่เราพบเจอจะสังเกตุได้ว่าคนใจเย็นเวลาสนทนากับคนอื่น มักจะสามารถหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับ
คู่สนทนาและยังสามารถซึมซับรับรู้ถึงความคิดเห็นของคนอื่นแทนที่จะดันทุรังเอาแต่ยัดเยียดความคิดเห็นตนเป็นใหญ่
อยู่ฝ่ายเดียวคนที่ก้าวเดินด้วยความใจร้อนมักมองไม่เห็นตะปูบนพื้นฉันใดคนที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลก็ไม่รู้จักรสชาติ
ของวันชื่นคืนสุขฉันนั้นปฐพีนี้ไม่มีไรใหญ่เกินมหาสมุทรแต่เหนือสุดกว้างใหญ่กว่าคือเวหาแม้นเวหาจะยิ่งใหญ่ครอบ
จักรวาล แต่ยังกว้างสู้จิตมนุษย์มิได้เอย