7 ข้อ “เรื่องวางแผนการเงิน” ที่ทุกคนต้องใส่ใจ
วันนี้ well-wisher มีบทความเพื่อช่วยหลาย ๆ คนที่กำลังจะเริ่มวางแผนการเงิน หรือคิดว่าเราได้วางแผนการเงินการลงทุน
บ้างแล้วเห็นเป็นแนวทางของตัวเองว่าถ้าต้องการแผนการเงินที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปในอนาคตอย่ างมั่นคงและยั่งยืน
ควรจะต้องเช็คเรื่องอะไรบ้าง โดย”well-wisher” ได้รวบรวมมาได้ 7 ข้อดังนี้ค่ะ
1 : รู้จักตัวเองก่อน
โดยข้อแรกนี้ก็คือ การที่เรารู้สถานะการเงินของเราเองว่าวันนี้เรามีสถานะทางการเงินอยู่ในระดับดีมาก ดี พอใช้ หรือ ยังต้อง
ปรับปรุง ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบกับชีวิตคนเราก็เหมือนเราไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปีที่โรงพย าบาล แน่นอนว่าหลายคนก็คง
ไ ป ต ร ว จแบบคิดว่าเราน่าจะยังแข็งแรงดี เ พ ร า ะ ก็ไม่ป่วย ไม่เหนื่อยง่าย หายใจก็ปกติ ไม่ปวดท้องอะไร แต่พอตรวจสุข
ภาพเสร็จก็มีจำนวนไม่น้อยเพิ่งรู้ว่าตัวเองป่วย บางคนป่วยหนักเลยก็มี เช่น ตรวจเสร็จก็รู้เลยว่าความดันสูง หรืออาจพบเจอ
เซลล์ผิดปกติก็เป็นได้ หรือบางคนก็อาจจะป่วยแบบเบา ๆ หรือมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น ความดันเริ่มสูงพอดีเกณฑ์ หรือ
คลอเรสเตอรอลเกินมาตรฐาน ซึ่งลักษณะนี้ก็เรียกว่าสุขภาพเราเริ่มมีความเสี่ยงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ตรวจแล้วสุข
ภาพดีก็ดีไป แต่คนที่พึ่งรู้ว่าตัวเองป่วยก็คงต้องกลับไปรักษาหรือปรับปรุงให้ร่างกายดีขึ้น
เรื่องการเงินก็เช่นเดียวกันที่เราทุกคนควรต้องรู้ถึงสถานะการเงินของตัวเองก่อนว่าตอนนี้เรามีสถานะทางการเงินอยู่ในระดับ
ใด ซึ่งก็เรียกว่า “การตรวจสุขภาพทางการเงิน (Financial Check Up)” หลาย ๆ คนอาจคิดเหมือนกันว่า ก็วันนี้ยังไม่เห็นมี
ปัญหาอะไรเลย ยังมีเงินใช้สบาย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า สุขภาพการเงินของเราจะดีตลอดไป ดังนั้นการตรวจสุขภาพ
ทางการเงินก็คือการตรวจสอบว่าเรามีรายรับรายจ่ายเป็นอย่ างไร มีรายจ่ายรายการไหนที่ต้องจ่ายประจำมั้ย หรือมีรายจ่าย
รายการใดเป็นรายจ่ายแบบทั่วไป ซึ่งถ้าเทียบกับรายรับแล้ว เรามีเงินเหลือเท่าไหร่ แล้วเรามีการไปลงทุนอะไรบ้าง ซึ่งเรา
ก็ควรตรวจสอบถึงสินทรัพย์และหนี้สินของเราด้วยว่า ตอนนี้เรามีแหล่งเงินของเราในส่วนไหนบ้าง เช่น มีในเงินฝากเท่า
ไหร่ หรืออยู่ในกองทุนบ้างมั้ย หรือ มีสินทรัพย์ประเภทส่วนตัวของเรามั้ย ซึ่งจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ตอนนี้เรามีสินทรัพย์
ทั้งหมดเลย มูลค่าเท่าไหร่แล้ว รวมถึงมีหนี้สินบ้างหรือไม่ ซึ่งอย่ างน้อยเราก็ควรมีมูลค่าของสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน
เ พ ร า ะ ไม่เช่นนั้นเราก็จะต้องมีภาระเรื่องการจัดการหนี้สินที่ถือว่าเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่อันตรา ยมากทีเดียว
2 : มองเห็นอนาคต
ข้อนี้คือ การตั้งเป้าหมายทางการเงินของตัวเราเองในอนาคต นั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่คนส่วนใหญ่มักจะผิดพลาดในเรื่องนี้
เช่น ไม่เคยรู้เลยว่าตอนเกษียณเราควรต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอ หรือ ถ้าจะส่งลูกเรียนเราควรต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ เป็นต้น
ซึ่งข้อนี้ ก็อย ากให้ทุก ๆ ท่านจัดลำดับเป้าหมายตามความสำคัญ และ ตามระยะเวลาด้วย เช่น ถ้าเป้าหมายระยะย าวเกินกว่า
10 ปีนี้ เรามีเรื่องอะไรที่กังวล อาจจะเป็นเรื่องการเกษียณอายุ หรือการเก็บเงินให้ลูก เป็นต้น หรือถ้าเป้าหมายระยะกลาง ๆ
ได้แก่ ต้องการแต่งงานในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือ อย ากซื้อบ้านใหม่ใน 3 ปี ควรต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ดี เป็นต้น
นอกจากนั้นการมองอนาคตอาจจะไม่ได้มองแค่เรื่องเป้าหมายสำคัญ ๆ เท่านั้น ควรจะมีเป้าหมายในเรื่องที่สำคัญน้อย ๆ บ้าง
แต่ก็ถือว่าจำเป็นในชีวิต เช่น เป้าหมายว่าอย ากไปเที่ยวกับครอบครัวในที่ ๆ เราอย ากไป หรือ อย ากได้มีโอกาสพาคุณพ่อ
คุณแม่ไปแสวงบุญที่อินเดีย เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่สำคัญ แต่ก็ต้องมีเงินเช่นกัน
3 : ถามตัวเองว่าวันนี้เรามีวิธีการที่จะไปสู่เป้าหมายที่ต้องการแล้วหรือยัง
ข้อนี้เป็นการตรวจสอบตัวเองว่าที่เราใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือการออมที่ทำอยู่นั้น มันสามารถ นำเรา
ไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการหรือไม่ ซึ่งถ้ามั่นใจว่าได้ก็ขอแสดงความยินดีว่าคุณเริ่มเข้าใจคำว่าวางแผนการเงินดีขึ้นแล้วค่ะ
แต่ถ้าใครยังตอบไม่ได้หรือไม่มั่นใจ ก็ควรต้องรีบกลับไปตรวจสอบแผนการเงินของตัวเองแล้วว่าเราต้องปรับเปลี่ยนอะไร
บ้าง เราต้องไปลงทุนตรงไหนเพิ่ม หรือ เราต้องลดค่าใช้จ่ายในส่วนไหนหรือไม่
4 : ถ้าวันนี้ใครมีรายได้มากกว่ารายจ่ายแล้ว ก็ควรต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินที่มากพอด้วย
ข้อนี้คือพื้นฐานลำดับแรกของการวางแผนการเงิน เราต้อง มีเงินสำรองฉุกเฉิน (Emergency Cash) เป็นบัญชีแรกซึ่งควรต้อง
มีตามหลักการสากลอย่ างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน ( ซึ่งคิดเฉพาะค่าใช้จ่าย ประจำและค่าใช้จ่ายผันแปร ) และ
ควรต้องมีสภาพคล่องสูงพร้อมถอนได้ทันที รวมถึงต้องมีความเสี่ยงต่ำ เช่น ในธนาคาร หรือกองทุนตลาดเงิน (Money
Market Fund) หมายความว่าถ้าจะต้องถอนวันนี้ ก็จะสามารถได้เงินออกมาได้ทันที และจะต้องไม่ขึ้นกับภาวะ
เศรษฐกิจ มูลค่าเงินก็ควรต้องไม่ลดลงเสมอ
ข้อนี้บางคนอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่อย ากให้ทุกท่านลองมองในมุมของการเจอวิกฤติบ้าง เช่น เกิดวิกฤติเศรษฐกิจจนทำ
ให้บริษัทที่เราทำงานต้องปิดตัวลงกะทันหัน หรือ ร้านขายของของเราเกิดถูกปิดกะทันหัน ไม่สามารถขายได้เนื่องด้วยอยู่
ในอาคารที่ถูกไฟไหม้ ทำให้รายได้หยุดลงทันที หากไม่มีเงินสำรองอย่ างน้อย 6 เดือนก็เท่ากับว่าท่านจะต้องเอาสิน
ทรัพย์อื่นขายออกไป เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่าย แม้ว่าสินทรัพย์นั้นอาจจะเป็นหุ้นหรือทองคำที่ยังไม่มีทุนอยู่ก็ต้องขาย
รวมไปถึงอาจต้องขายรถก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการประมาทจึงควรให้มีเงินส่วนนี้อย่ างเพียงพอ อาจจะมากกว่า
6 เท่าของค่าใช้จ่ายก็ได้ และจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่สบายใจอีกด้วย ซึ่งถ้ามีเพียงพอแล้ว เงินส่วนที่เกินค่อยไปหา
วิธีการลงทุนต่อไป
5 : ถ้ามีหนี้สิน เราได้จัดการอย่ างเหมาะสมมั้ย
ข้อนี้คือข้อที่มาเตือนคนที่ยังมีหนี้สินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินบ้าน รถ หรือบัตรเครดิต รวมไปถึงหนี้สินนอกระบบเราได้จัดการ
มันอย่ างเหมาะสมมั้ย เช่น หนี้สินบ้านนั้นเราผ่อนมาครบ 3 ปีหรือยัง ถ้าครบแล้วเราได้ลองหาวิธี รีไฟแนนซ์ มั้ย ซึ่งก็ทำได้
ไม่ย าก แค่ลองไปติดต่อกับทางธนาคารต่าง ๆ ดู แล้วก็ดูว่าเงื่อนไขที่ไหนดีที่สุด
แต่ที่น่าจะเป็นห่วงก็คือการเป็นหนี้นอกระบบกับหนี้บัตรเครดิตเ พ ร า ะ หนี้ประเภทนี้ดอกเบี้ยสูงมาก ๆ เช่น หนี้บัตรเครดิต
จะอยู่ที่ประมาณ 18-20% ต่อปี ดังนั้นถ้าเราชำระขั้นต่ำตลอดก็เท่ากับว่า เรากำลังจะเพิ่มยอดหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น
หากใครที่มีหนี้สินประเภทนี้ สิ่งแรกที่ควรต้องทำคือปิดยอดหนี้ให้หมดเร็วที่สุด โดยอาจจะลองหาแหล่งเงินรอบ ๆ ตัวว่า
พอมีบ้างมั้ย รวมไปถึงอาจจะรีบวางแผนผ่อนหนี้ในยอดที่ต่ำที่สุดก่อนก็ได้ เพื่อเป็นกำลังใจในการผ่อนหนี้ของส่วนอื่นๆ
ต่อไป ดังนั้นข้อนี้ก็แค่ย้ำว่า ถ้าใครมีหนี้นอกระบบหรือหนี้บัตรเครดิตก็ควรต้องรีบจัดการด่วนที่สุด แม้ว่าอาจจะต้องขาย
สินทรัพย์บางอย่ างที่อาจจะไม่สำคัญออกไปก็ควรต้องทำเพื่อลดอัตราการเติบโตของยอดหนี้ในอนาคต
6 : จัดการความเสี่ยงเรื่องทรัพย์สิน ชีวิต และสุขภาพ ดีพอหรือยัง
ข้อนี้คือส่วนสำคัญมาก ๆ ของแผนการเงินแบบองค์รวมเช่นกันเ พ ร า ะในชีวิตของคนเราทุก ๆ คนอาจจะต้อง ประสบกับ
เรื่องไม่คาดฝัน ทั้งอาจจะใหญ่บ้าง รุนแรงบ้าง เช่น ไฟไหม้โรงงาน รถชน รถหาย เป็นโรครุนแรงหรือกลายเป็นคนพิการ
ทุพพลภาพ หรือ อาจจะเล็กน้อยบ้าง เช่น หกล้ม รถเฉี่ยว ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนั้น ถ้าหากมัน
เกิดขึ้นแล้วไม่มีผลกับสถานะการเงินของเรา ก็แสดงว่าเราวางแผนดีแล้ว แต่ถ้ามันเกิดกับเราแล้วมีผลทำให้การเงิน
ของเราเสียหาย ก็แสดงว่าแผนการเงินของเราน่าจะยังจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี
ซึ่งเรื่องนี้สำคัญเ พ ร า ะเป็นเรื่องที่ถ้าเกิดความเสียหายแล้ว เราไม่สามารถจะกลับไปแก้ได้ทัน เช่น ถ้าเป็นมะเร็งแล้ว
เราไม่มีประกันคุ้มครอง แถมต้องเสียเงินค่ารักษามากมาย รวมถึงอาจจะมีผลทำให้ทำงานได้ลดลง ก็อาจจะทำให้
การเงินมีปัญหาได้ แถมเราจะกลับไปเริ่มทำประกันคุ้มครองใหม่ก็คงไม่สามารถทำได้แล้ว ข้อนี้จึงเป็นเรื่องที่
สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้หลาย ๆ ครอบครัวมีปัญหาทางการเงินแบบล้มทั้งยืน
ดั ง นั้ นการจัดการที่เหมาะสมกับเรื่องนี้ก็คือการโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันรับผิดชอบไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประกันรถ
ป ร ะ กั นไฟไหม้บ้าน ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และ ประกันโรครุนแรง ซึ่งก็ควรจัดให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของ
เราด้วยไม่ทำมากเกินไปจนจ่ายเบี้ยไม่ไหวหรือทำน้อยเกินไปจนไม่สามารถช่วยอะไรได้หากต้องเจอเหตุการณ์รุนแรงจริง ๆ
7 : ต้องมีการออมและการลงทุนอย่ างเหมาะสมกับทุกเป้าหมายของเรา
ข้อนี้เป็นข้อสำคัญที่หลาย ๆ คน อาจจะคิดเป็นเรื่องแรก ๆ เกี่ยวกับเรื่องการเงิน เช่น เงินเหลือจะเอาไปทำไรดีที่ผลตอบแทน
ม า ก กว่าธนาคาร เป็นต้น ซึ่งจริง ๆ แล้วอย ากให้ทุก ๆ คนควรต้องจัดการใน 6 ข้อแรกอย่ างดีพอก่อน ซึ่งข้อนี้ก็อย ากให้
ต ร ว จ สอบการออมการลงทุนของตัวเองว่า มีอัตราส่วนการออมการลงทุนคิดเป็นกี่ % ของรายได้ น้อยไปหรือไม่ รวมถึง
การลงทุนของเรานั้นมันไปตอบโจทย์เป้าหมายอะไรของเราบ้าง เช่น บางคนอาจจะมีรายได้ปีละ 1,000,000 บาท ก็อาจ
จะลงทุนในกองทุน RMF หรือ LTF หรือ ประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งอาจจะได้ทั้งการลงทุนเพื่อเป้าหมายเกษียณ และ
ยังสามารถเอาไปใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ดังนั้นการออมและการลงทุนกับอะไรจึงต้องมีความรู้จริงในสิ่งนั้นด้วย
อย่ าลงทุนตามข่าวลือหรือตามกระแสเ พ ร า ะอาจมีผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวก็ได้ สรุปข้อนี้ก็คือ ถ้ามีเงินเหลือจาก
ทุกข้อข้างต้นแล้ว ควรนำไปลงทุน แต่ต้องเป็นการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินของเราก่อน
ซึ่ง ” well-wisher” หวังเป็นอย่ างยิ่งว่าข้อมูลทั้ง 7 ข้อนี้ จะเป็นประตูให้กับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จทางการเงิน
ได้เริ่มลงมือวางแผนการเงินของตัวเองอย่ างถูกต้อง และเราจะสามารถก้าวไปอย่ างมั่นคงได้แน่นอนค่ะ